วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

โรคพิษสุนัขบ้า

โรคพิษสุนัขบ้า

โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่รุนแรง ถ้าเป็นแล้วคือ รับเชื้อแล้วมีอาการ โอกาสรอดแทบไม่มี (ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ป่วยรอดชีวิต ) โรคนี้เกิดจากไวรัสพิษสุนัขบ้า หรือ Rabies Virus ( ชื่อจริงคือ Rhabdo Virus ) เกิดโรคเฉพาะในสัตว์เลือดอุ่นที่เลี้ยงลูกด้วยนม พบมากในเขตร้อน คนส่วนใหญ่ติดเชื้อจากสุนัขมากที่สุดนอกจากนั้นมี แมว ค้างคาว เป็นต้น เมื่อโดนกัดเชื้อสุนัขบ้า ในน้ำลายของสุนัขที่เป็นโรค จะเข้าสู่แผล แบ่งตัวและกระจายตามเส้นประสาท เข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง คือ สมองและไขสันหลัง ดังนั้นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำคัญมาก คือ การทำความสะอาดแผลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือ ล้างแผลด้วยน้ำสบู่ให้สะอาด แล้วรีบปรึกษาแพทย์

การที่คนจะติดเชื้อและเกิดโรคได้นั้น ขึ้นกับปริมาณเชื้อในน้ำลายสุนัข ความลึก ความฉกรรจ์ของบาดแผล ใกล้หรือไกลจากสมอง ดังนั้น โดนกัดที่ใบหน้า หัวไหล่ จะมีโอกาสติดเชื้อรุนแรงกว่าโดนกัดที่เท้า เป็นต้น เมื่อเชื้อเข้าสู่สมองได้แล้ว ก็จะทำให้เซลล์สมองอักเสบอย่างรุนแรง, บวม สุดท้ายเซลล์สมองตาย ชีวิตก็อยู่ไม่ได้

อาการของโรคพิษสุนัขบ้าในคน มักเริ่มด้วย ปวดศีรษะ, สับสน อารมณ์เปลี่ยนแปลง กลัว, ระแวง ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัวมากกว่าปกติ เช่น เสียงดังๆ, สัมผัส, ลมพัด การเอามือโบกใกล้ๆ ตัวจะสะดุ้ง อาจจะมีความเสียว มึน ชา เจ็บบริเวณแผลที่โดนกัด ( ซึ่งมักจะเริ่มหายแล้ว ) อาการที่สำคัญอีกอย่าง คือ อาการกลืนของเหลวลำบาก เวลากลืนจะเจ็บมาก เพราะกล้ามเนื้อลำคอจะเกร็งตัวและเจ็บไม่เฉพาะกล้ามเนื้อคอเท่านั้น กล้ามเนื้อกระดูกซี่โครง กล้ามเนื้อกระบังลมจะเกร็งด้วย ทำให้ดื่มน้ำแล้วทรมาน และเจ็บมาก ทั้งที่อยากดื่มแต่ดื่มไม่ได้และแสดงความกลัวต่อการดื่มน้ำ จึงเป็นที่มาของคำว่า “ โรคกลัวน้ำ ” ถ้าโรคเป็นมากจะสับสนมากขึ้น ซึม ไม่รู้สึกตัว ( COMA ) และเสียชีวิตเพราะกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต สมองบวมมากระยะเวลาจากเริ่มมีอาการจนเสียชีวิต เฉลี่ยประมาณ 1 สัปดาห์ ส่วนระยะฟักตัว คือ ตั้งแต่โดนกัด จนถึงมีอาการส่วนใหญ่ใช้เวลา 1 – 3 เดือน เร็วกว่านั้นก็ได้ หรือนานกว่านี้ก็มี แต่น้อย บางคนนานเป็นปีค่อยมีอาการ ก็มีนะครับเพราะว่า โรคนี้เป็นแล้วรักษาไม่ได้ จึงจำเป็นจะต้องป้องกันไม่ให้มีการรับเชื้อเกิดขึ้น คือ พยายามไม่ให้โดนสุนัข ( สัตว์ ) กัด หรือถ้าโดนกัดแล้ว ก็ต้องป้องกันโดยเซรุ่ม และ /
หรือวัคซีน

การป้องกันหรือลดความเสี่ยงในการสัมผัสโรค

- ฉีดวัคซีนกันโรคพิษสุนัขบ้า ให้สัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข หรือแมว โดยฉีดปีละ 2 ครั้ง

- ป้องกันสัตว์เลี้ยงไม่ให้โดนกัด เช่น มีอาณาบริเวณที่เป็นรั้วรอบขอบชิด

- ถ้าสัตว์เลี้ยงเราโดนกัด หรือป่วยต้องสังเกตอาการว่าจะเข้าข่ายติดเชื้อสุนัขบ้าหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจปรึกษาสัตวแพทย์

เทศบาล

- อาชีพที่เสี่ยงต่อการโดนสัตว์กัด เช่น สัตวแพทย์บุรุษไปรษณีย์ ควรได้วัคซีนเพื่อป้องกัน

สัมผัสโรค ( รวมถึงคนที่จะไปจีบสาวบ้านที่มีสุนัขดุด้วย

เมื่อโดนสัตว์กัดแล้ว

- ทำความสะอาดแผลทันทีด้วยน้ำสบู่ จนสะอาด

- ปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อพิจารณาว่าควรให้การป้องกัน ด้วยเซรุ่ม และ / หรือวัคซีนหรือไม่ ส่วนการจะฉีด อะไร ฉีดกี่เข็ม ฉีดบาดทะยักด้วยหรือไม่ แพทย์จะเป็นคนวินิจฉัยเองนะครับ

- ถ้าทำได้ ให้สังเกตอาการสัตว์ 10 วันเพราะถ้าสัตว์ติดเชื้อพิษสุนัขบ้า มักเสียชีวิตภายใน 10 วัน

- ถ้าทำได้ เพื่อพิสูจน์ว่าสัตว์ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าหรือไม่ คือ การส่งสมองสัตว์พิสูจน์ ซึ่งอาจจะทำไม่ ได้ทุกราย ก็ หวังว่าพอจะช่วยอุ่นใจในระดับหนึ่งนะครับ เกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า แต่สำหรับโรคบ้าอื่นๆ ก็ต้องมีวิธีแก้กันไปคนละแบบนะครับ ยิ่งร้อนนี้ ร้อนจริงๆ ดูบรรยากาศรอบๆ ตัวทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง ผมว่ามันก็น่าบ้าเหมือนกันนะครับ ก็คงต้องอาศัยการตั้งสมาธิ ปล่อยวางเตรียมใจยอมรับเผื่อแผ่แบ่งปันให้ผู้อื่นบ้าง กินอยู่อย่างพอดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น